Tuesday 18 October 2016

การดูแลรักษาสัตว์เลี้ยงแบบ 4P ในยุค 4G

การดูแลรักษาสัตว์เลี้ยงแบบ 4P ในยุค 4G 

เติมพงศ์ วงศ์ตะวัน




            ในยุคสมัยที่โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ทุกคนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อการสื่อสารและดูข้อมูล นอกจากนี้เราก็ยังมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ดีกว่าสมัยก่อนมาก การรักษาโรคเริ่มเปลี่ยนแนวไปเพื่อให้รักษาผู้คนได้แม่นยำขึ้นและเพื่อให้รักษาได้ทุกคน จากที่เคยใช้การรักษาจากตำราจากการวิจัยที่ใช้ประชาการจำนวนมากจากประชากรทั่วโลกเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่เป็นค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุด ในการรักษาแบบเดิมนี้ยาหนึ่งตัวที่ดีที่สุดที่หมอมีอาจจะได้ผลเต็มที่แค่ 80 เปอร์เซ็นต์ ของประชาการทั้งโลก ทำให้เราละเลยอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือไป แต่โดยเฉลี่ยแล้วการรักษาแบบเดิมๆอาจจะรักษาได้แค่มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก นั่นก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมการรักษาแบบนี้ถึงสามารถใช้ได้กับแค่บางคนเท่านั้น ในอนาคตเราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปใช้การรักษาแบบเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะบุคคล เพราะคนแต่ละคนนั้นมีพันธุกรรมแตกต่างกันมีการสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน มีการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน และยิ่งอยู่ต่างเผ่าพันธุ์หรืออยู่คนละเทศกันยิ่งมีความแตกต่าง ผลก็คือคนละกลุ่มนั้นจะมีการตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน มีโอกาสเป็นโรคต่างกัน เกิดผลข้างเคียงของการรักษาที่ต่างกัน
            การรักษาสมัยใหม่นั้นเขาเรียกกันว่า การรักษาแบบ 4P ประกอบไปด้วย
·       Predictive (พยากรณ์อย่างแม่นยำ) สามารถพยากรณ์โรคได้อย่างแม่นยำ ว่า บุคคลเหล่านี้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอะไรบ้าง
·       Personalized (เฉพาะบุคคล) เมื่อเกิดการเจ็บป่วยจะสามารถเลือกใช้ยาและวิธีรักษาที่เหมาะกับบุคคลนั้น
·       Preventive (ป้องกันได้อย่างสมบูรณ์) สามารถหาวิธีป้องกันอาการป่วย และผลข้างเคียงของการรักษาได้อย่างแม่นยำและเหมาะสม
·       Participatory (ปฏิสัมพันธุ์ที่ดี) คนไข้และหมอต้องสามารถติดต่อกันได้ เข้าถึงข้อมูลกันได้ และคนไข้สามารถมีส่วนร่วมแสดงคิดเห็นต่อการรักษา

การที่จะทำให้ได้ทั้ง 4P นั้นต้องมีการเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียดของแต่ละบุคคล หรือ เผ่าพันธุ์ หรือ คนในประเทศนั้น ในสัตว์เลี้ยงก็เหมือนกัน สุนัขแต่ละสายพันธุ์นั้นย่อมจะต้องมีแนวทางการรักษาและความเสี่ยงต่อโรคที่ต่างกัน สุนัขสายพันธุ์เดียวกันแต่อยู่คนละที่เลี้ยงคนละแบบก็จะก่อให้เกิดความแตกต่างของการเกิดโรคและแนวทางการรักษาเช่นกัน นอกจากนั้นความรู้ความเข้าใจของเจ้าของที่มีต่อสุนัขก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยในการวินิจฉัยและหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง แม่นยำ ปลอดภัย และสบายใจแก่เจ้าของและสัตว์เลี้ยงด้วยครับ
ทำอย่างไรถึงจะได้ข้อมูลเพื่อทำ 4P ข้อมูลที่จะทำให้ได้ 4P นั้นมีอยู่หลายอย่าง เช่น
·       ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม คนไข้ต้องผ่านการตรวจทางพันธุกรรมและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมว่ามีความผิดปกติ ความแตกต่าง ความเสี่ยงทางพันธุกรรมอะไรบ้าง ที่จะก่อให้เกิดโรคได้ในอนาคต ซึ่งข้อมูลทางพันธุกรรมนี้จะต้องเชื่อมโยงกับข้อมูลของบรรพบุรุษ เผ่าพันธุ์ บุคคลใกล้เคียงอื่นๆที่ไม่ใช่ญาติด้วย เพื่อที่จะหาความสัมพันธุ์ของการเกิดโรคในอดีตและพันธุกรรม และข้อมูลเหล่านี้จะถูกวิเคราะห์เพื่อหาความเสี่ยงต่อโรคในอนาคต แนวทางการป้องกันและรักษา เมื่อวันที่เกิดการเจ็บป่วย
·       ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น ค่าเลือด ค่าสารเคมีในเลือด ผลตรวจร่างกายจากการเอ็กซเรย์ อุลตราซาวด์ และอื่นๆ เช่น ความดันเลือด อัตราการเต้นของหัวใจ ค่าเหล่านี้จะต้องทำการตรวจอย่างสม่ำเสมอจะไม่ใช้การตรวจประจำปีอีกต่อไปเพราะมันจะไม่แม่นยำและอาจช้าเกินไป จะต้องมีการตรวจที่บ่อยกว่านั้น เช่นทุก สามเดือน เพื่อที่จะได้เป็นค่าที่ปกติของแต่ละบุคคล และจะได้สังเกตเห็นความผิดปกติได้ชัดเจนขึ้น ค่าอย่างความดันเลือด อัตราการเต้นของหัวใจ ปริมาณน้ำตาลกลูโคส หรือตรวจปัสสาวะ เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถที่จะทำการตรวจที่บ้านได้เอง และรายงานผลเข้าทางอินเตอร์เน็ต เพื่อให้คุณหมอได้เข้ามาดูได้ โดยใช้อุปกรณ์ตรวจที่ง่ายและแม่นยำ เมื่อป้อนข้อมูลเข้าไปในระบบตัวคอมพิวเตอร์ในระบบจะสามารถวิเคราะห์และแจ้งเตือนทั้งหมอและเจ้าของสัตว์ได้เมื่อเห็นความผิดปกติของข้อมูล
·       ข้อมูลที่เกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม อาหารการกิน การออกกำลังกาย ข้อมูลเหล่านี้เราสามารถกรอกเข้าระบบอินเตอร์เน็ตได้ทุกวัน ถ้าเราไม่ลืม ยิ่งกรอกได้ละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งจะทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลได้ละเอียดขึ้น ในเทคโนโลยีสมัยใหม่มือถือหรือนาฬิกาบางชนิดสามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของเราได้โดยอัตโนมัติ แต่ในสัตว์เลี้ยงอุปกรณ์เหล่านี้ก็มีเหมือนกันแต่อยู่ในรูปของปลอกคอ และก็สามารถรายงานผลเข้าทางมือถือหรืออินเตอร์เน็ตที่บ้านของเราโดยอัตโนมัติครับ

·       ข้อมูลการปฏิสัมพันธุ์ ระหว่างหมอกับคนไข้ ในสัตว์เลี้ยงก็ต้องเป็นข้อมูลการติดต่อสื่อสารระหว่างสัตวแพทย์และเจ้าของสัตว์เลี้ยง ในอนาคตการโทรขอคำปรีกษาจากหมอ การไปรอพบหมอที่โรงพยาบาล จะไม่ค่อยเกิดขึ้นยกเว้นจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องสำคัญหรือจำเป็นจริงๆถึงจะทำ เจ้าของสุนัขสามารถติดต่อกับคุณหมอได้ทางโปรแกรมในอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจจะเป็นระหว่างบุคคลกับหมอหรือเป็นการคุยกันในกลุ่มเจ้าของกับหมอเพื่อใช้ประสบการณ์และความรู้ของเจ้าของมาช่วยในการวินิจฉัย และแนวทางการรักษา ซึ่งข้อมูลจะถูกบันทึกเข้าระบบคอมพิวเตอร์ด้วยเพื่อช่วยในการวิเคราะห์เจ้าของสัตว์จะมีส่วนร่วมมากขึ้นในการตัดสินใจ การตัดสินใจในการรักษาจะขึ้นกับความรู้ ความเชื่อทางศีลธรรมและจารีตประเพณี บวกกับสภาวะทางการเงินด้วย


Monday 22 August 2016

จะทำอย่างไรดีเมื่อสัตว์เลี้ยงเสียชีวิต

จะทำอย่างไรดีเมื่อสัตว์เลี้ยงเสียชีวิต

เติมพงศ์ วงศ์ตะวัน


คนที่รักสัตว์เลี้ยงทุกคนก็ย่อมจะมองเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของเราเป็นมากกว่าสัตว์ธรรมดา เพราะว่ารักเราเขามาก เหมือนดัง เป็นเพื่อน เป็นลูก เป็นญาติของเราเอง และเมื่อเกิดการเสียชีวิตของสัตว์เลี้ยง เจ้าของก็ต้องเสียใจเป็นอย่างมากและก็ อยากจะจัดพิธีศพ อยากทำบุญให้ อยากจะมีของที่ระลึกหรือความทรงจำเก็บไว้

เมื่อสัตว์เลี้ยงของเราเสียชีวิต เราควรทำอย่างไรดี ก็มีทางเลือกที่มีอยู่ สี่ อย่าง ในประเทศไทย คือ ฝังเอง ทำพิธีทางศาสนา บริจาคให้คณะสัตวแพทยศาสตร์เพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ หรือทำสต๊าฟสัตว์

การฝังสัตว์เลี้ยงในที่ดินของตัวเอง เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ห้ามไปฝังในที่คนอื่นหรือที่สาธารณะนะครับ เพราะมันผิดกฏหมาย เมื่อถูกฝังไว้เป็นเวลานาน ร่างกายที่เน่าเปื่อยก็จะกลายเป็นปุ๋ยให้สู่ดิน เจ้าของอาจจะทำการปลูกต้นไม้ หรือดอกไม้ไว้บริเวณที่ฝังเพื่อที่ระลึกถึงสัตว์เลี้ยงที่รัก ที่สำคัญควรจะฝังลึกหน่อยไม่งั้นอาจส่งกลิ่นเหม็นออกมาได้ หรือรังให้สัตว์อืนมาคุ้ยเขี่ย แต่ถ้าในต่างประเทศหลายประเทศจะมีสถานที่ให้ฝังศพสัตว์เลี้ยงให้โดยเฉพาะเรียกว่า Pet CEMETRY หรือสุสานสัตว์เลี้ยงนั่นเอง แต่ในประเทศไทยเท่าที่ทราบอาจจะมีอยู่ที่เดียวที่ยอมให้มีการฝังศพสุนัข (ทำฮวงซุ้ย) ก็คือ ที่วัดหนองแวง จังหวัดขอนแก่น และเรียกบริเวณนั้นว่า “สุสานเพื่อนรัก”

การทำพิธีทางศาสนา หลังจากที่สัตว์เลี้ยงเสียชีวิต เราก็สามารถทำพิธีทางศาสนาได้ ซึ่งเท่าที่เห็นในประเทศไทยก็มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วก็จะนำเอาไปฝัง หรือเผา ก็ถือว่าเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลครั้งสุดท้ายให้กับสัตว์เลี้ยงที่เรารัก ไม่ใช่ทุกวัดที่จะยอมทำพิธีทางศาสนาให้สัตว์เลี้ยงและยอมให้มีการเผาในวัด ฉะนั้นก็ต้องลองสอบถามวัดแถวบ้านดูนะครับว่า สามารถทำได้ไหม หรือลองค้นหาในอินเตอร์เน็ตดู นอกจากนี้ปัจจุบันมีบริษัทรับจัดงานศพให้สุนัขแบบครบวงจรอยู่หลายบริษัท ถ้าค้นหาจากอินเตอร์เน็ตก็จะมีอยู่หลายบริษัทนะครับ เขาก็จะมีตั้งแต่รับศพมาแช่แข็งเก็บไว้ไม่ให้เปื่อยเน่า แต่งศพ ทำพิธีทางศาสนา เผาศพ ลอยอังคาร มีจัดทำ โลงศพ พวงหรีด และของที่ระลึกให้ แต่ถ้าต้องการจัดการเองแต่กลัวสัตว์เลี้ยงจะเน่าก็คงต้องซื้อตู้แช่แข็งมาไว้เพื่อแช่แข็งสัตว์เลี้ยงไม่ให้เน่าก่อนแล้วค่อยหาเวลาเหมาะสม เพื่อทำพิธีทางศาสนา

การบริจาคร่างกายสัตว์เลี้ยงทีเสียชีวิตให้กับ คณะสัตวแพทยศาสตร์ เพื่อนำไปเป็นอาจารย์ใหญ่ เพื่อใช้สอนนักศึกษาสัตวแพทย์ต่อไป การมอบร่างกายเพื่อเป็นการเรียนการสอนให้กับนักศึกษาสัตวแพทย์ถือว่าเป็นบุญกุศลที่ใหญ่หลวงนัก เพราะสัตวแพทย์จะได้นำความรู้ที่ได้จากการศึกษากับอาจารย์ใหญ่นี้นำไปช่วยชีวิตสัตว์อื่นๆในโลกต่อไป สำหรับการบริจาคให้คณะสัตวแพทยศาสตร์นั้นส่วนใหญ่จะเป็นการบริจาคภายหลังการเสียชีวิตที่โรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัยเพราะทางเจ้าหน้าที่จะสามารถทำการเก็บรักษาได้ทันท่วงที เพราะถ้าเสียชีวิตมาจากที่อื่นเขาจะไม่รับเพราะร่างกายสัตว์จะเริ่มเน่าแล้ว เมื่อนักศึกษาได้เล่าเรียนกับอาจารย์ใหญ่เสร็จแล้วทางมหาวิทยาลัยก็จะทำพิธีเผาและทำบุญอาจารย์ใหญ่และก็มักจะเชิญเจ้าของมาร่วมทำบุญด้วยทุกครั้ง

การทำสต๊าฟสัตว์ก็คือการนำผิวหนังของสัตว์มาผ่านกรรมวิธีทางเคมีแล้วมาทำเป็นผิวหนังของหุ่นคล้ายของสัตว์ที่เสียชีวิตไป เพื่อเป็นการระลึกถึงตัวสัตว์นั้น ขั้นตอนก็ต้องมีการเลาะเอากล้ามเนื้อและอวัยวะภายในสัตว์ออกให้หมด หลังจากนั้นก็จะยัดวัสดุนุ่มๆเข้าไปแทนกล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ เจ้าของอาจจะนำเอาส่วนที่ไม่ได้ใช้ทำสต้าฟไปทำพิธีทางศาสนาหรือฝัง ในปัจจุบันที่รับทำสต๊าฟสัตว์เลี้ยงทั้งของเอกชนและรัฐบาล เช่น ในคณะสัตวแพทยศาสตร์ สัตวศาสตร์ บางแห่ง เป็นต้น ในต่างประเทศจะมีบริการการแช่แข็งและทำแห้ง เพื่อให้คงซากสัตว์เลี้ยงไว้ได้นานให้ด้วย วิธีนี้จะคงสภาพสัตว์เลี้ยงให้ดูเหมือนจริงมากกว่าแต่ราคาแพงมากกว่าการสต๊าฟสัตว์ด้วยสารเคมีมาก


การจัดทำของที่ระลึก หรือสิ่งที่ทำให้ระลึกถึงสัตว์เลี้ยงของเรา การทำของที่ระลึกที่ง่ายที่สุดก็คือ เอารูปสัตว์เลี้ยงใส่กรอบ แต่ถ้าอยากใส่รูปไว้มากๆก็ทำเว็บไซด์ หรือเขียนแผ่นลงซีดี หรือคอมพิวเตอร์บันทึกภาพความทรงจำดีๆของคุณกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนั้นก็นิยมเก็บเถ้าถ่านของสัตว์เลี้ยงหลังจากการเผามาเก็บไว้ในภาชนะที่เป็นรูปสัตว์ หรือใส่ไว้ในกระถางปลูกต้นไม้ ในต่างประเทศคนเขามักนิยมนำเถ้าถ่านของสุนัขไปให้บริษัทที่รับทำของที่ระลึก เช่น ทำแจกันดอกไม้ หรืออัญมณีเพื่อเป็นเครื่องประดับได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำเถ้าถ่านมาเป็นส่วนประกอบของการทำดอกไม้ไฟเพื่อจุดให้ระลึกถึงสัตว์เลี้ยงและมีความเชื่อว่าเพื่อส่งสัตว์เลี้ยงของท่านสู่สวรรค์ได้  การทำอัญมณีจากเถ้ากระดูกนั้นในประเทศไทยเริ่มมีแล้วนะครับ แต่ปกติมักจะทำให้กับเถ้ากระดูกของคนราคาอยู่ที่หลักหมื่นต่อชิ้นครับ เขาเรียกว่า อัฐิมณี (http://www.mindmani.com/) ถ้าเจ้าของสัตว์เลี้ยงท่านใดสนใจก็ลองสอบถามกับบริษัทดูเขาอาจจะรับทำให้กับสัตว์เลี้ยงนะครับ

Sunday 3 April 2016

ความปลอดภัยเมื่อนำสุนัขขึ้นนั่งรถยนต์ไปด้วย

          
        ในการเดินทางในแต่ละครั้งนั้นความปลอดภัยในการขับรถนอกจากจะขึ้นอยู่กับสภาพรถ และวินัยของคนขับแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คืออุปกรณ์เสริมความปลอดภัยที่สำคัญนั่นก็คือ เข็มขัดนิรภัย หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า seat belt (อ่านว่า ซีท เบ้ล ซึ่งแปลตามตัวศัพท์แล้วว่า เข็มขัดที่นั่ง) ถ้าคุณมีเด็กเล็กอยู่ในครอบครัวก็ขอแนะนำให้ใช้ที่นั่งเด็กสำหรับใช้ในรถโดยเฉพาะนะครับ ที่คนไทยมักเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า คาร์ซีท (car seat) คนไทยก็เริ่มหันมาใช้กันมามากขึ้นแล้วครับ เพราะว่ามันปลอดภัยสำหรับเด็กเวลารถเบรก หรือเลี้ยวกระทันหัน แต่ที่ยังไม่นิยมกันอยู่สักเท่าไร สาเหตุหลักก็คือ ราคาค่อนข้างแพง สาเหตุรองลงมา ก็เป็นความเชื่อที่ผิดๆว่า เด็กรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งจริงๆแล้วเด็กจะไม่ได้อึดอัดนะครับ แล้วนั่งสบายมาก ลูกชายของผมก็ใช้นั่งมาตลอด ตั้งแต่เกิดจนถึง ปัจจุบันก็จะสี่ขวบแล้ว แล้วที่ต่างประเทศแถวยุโรป และอเมริกานี่เขาบังคับเป็นกฏหมายเลยนะครับว่าเด็กๆต้องใช้ไม่งั้นคนขับต้องถูกจำ หรือปรับ
       ทีนี้เราก็มีอุปกรณ์ความปลอดภัยสำหรับเด็กแต่ถ้าเรามีน้องหมาน้องแมวโดยสารมากับรถแล้ว จะทำยังไงดีหละครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงอุปกรณ์ความปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยงขณะโดยสารไปกับรถยนต์ครับ นั่นก็คือเข็มขัดนิรภัยสำหรับ (pets seat belt) สัตว์เลี้ยง และ ที่นั่งสำหรับสัตว์เลี้ยงครับ (pets car seat)
     ทำไมต้องใช้ด้วย ? หลายคนอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญของการใช่อุปกรณ์ความปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยงในรถครับ เพราะว่าหากเกิดอุบัตุเหตุขึ้นมา หรือเกิดการเบรก หรือเลี้ยงอย่างกระทันหัน สัตว์เลี้ยงของท่านจะมีโอกาสสูงที่จะได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตครับ  และหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วสัตว์เลี้ยงอาจเกิดความตกใจ หวาดกลัว จนกัดผู้ที่ร่วมโดยสาร หรือวิ่งหนีออกจากรถไป แล้วทำให้เกิดอุบัติเหตุในท้องถนนเพิ่มเติมได้อีก และถ้าหากเราไม่ได้มีที่อยู่ที่จำกัดของสัตว์เลี้ยงในขณะที่เราขับรถแล้วละก็ สุนัขหรือแมวของท่าน อาจจะมารบกวนสมาธิในการขับรถ เช่น โดดมาเล่นกับท่าน เล่นพวงมาลัย มาเลียหน้า หรือตะกุยอยู่ข้างๆได้ นี่ก็จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ 
    ในหลายๆเมืองในต่างประเทศนั้นก็เริ่มมีกฤหมายสำหรับการบังคับให้สัตว์ใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในขณะขับรถกันบ้างแล้ว แต่โดยส่วนใหญ่จะไม่ได้บังคับให้ใช้โดยตรง แต่จะห้ามสุนัขยื่นหน้ามาที่หน้าต่าง ห้ามสุนัขอยู่บนหลังรถปิกอัพ โดยไม่มีการผูก หรือการจับ       ในต่างประเทศรถหลายรุ่นๆโดยเฉพาะรถห้าประตูเขาจะมีการออกแบบที่นั่งด้านหลังให้เป็นที่ของสัตว์เลี้ยงเลยครับ และมีการผูกติดไว้ให้เรียบร้อย สุนัขจะไม่สามารถปีนมาข้างหน้าได้เพราะจะมีที่กั้นไว้ สำหรับคนที่มีรถสี่ประตูก็ต้องให้น้องหมานั่งด้านหลังเป็นส่วนใหญ่ถ้าใช้เข็มขัดนิรภัยสุนัข ถ้าหากคนไหนกลัวเบาะสกปรกเขาก็จะมีที่หุ้มเบาะสำหรับสุนัขโดยเฉพาะเอาไว้ ถ้าสุนัขตัวเล็กใส่กรง หรือกระเป๋าไว้ก็น่าจะปลอดภัยกว่าปล่อยให้วิ่งไปวิ่งมานะครับ สุนัขที่มีขนาดใหญ่นั้นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่แนะนำให้ใช้ก็คือเข็มขัดนิรภัยครับ จะใช้คาร์ซีทไม่ได้เพราะว่าสุนัขนั้นตัวใหญ่กว่าคาร์ซีท สุนัขที่มีขนาดเล็กนั้นมีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บในขณะที่เราเบรค หรือเลี้ยวได้ง่ายกว่า สุนัขตัวใหญ่ เพราะมีน้ำหนักที่น้อยกว่า การใช้ที่นั่งสำหรับสัตว์เลี้ยงร่วมกับเข็มขัดนิรภัยน่าจะเหมาะกว่าการใช้เข็มขัดนิรภัยเพียงอย่างเดียว ถ้าสุนัขตัวเล็กนั้นอยากเห็นวิวทิวทัศน์ในระหว่างขับรถ เราก็สามารถเสริมปรับที่นั่งให้สูงขึ้นได้ 
       ผมไม่แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีขายที่ประเทศไทยแล้วหรือยังนะครับ ถ้ายังหาไม่ได้ก็คงต้องไปค้นหาทางอินเตอร์เน็ตนะครับ ผมมีตัวอย่างเว็บมาลองไปเปิดดูนะครับ บอกก่อนว่าผมไม่ได้ค่านายหน้านะครับ 55


Wednesday 9 December 2015

สุนัขดูทีวีได้ไหม ชอบดูทีวีหรือเปล่า


คิดว่าหลายท่านคงจะชอบดูทีวีกันเกือบทุกคน ท่านเคยสังเกตุไหมว่าสัตว์เลี้ยงที่บ้านท่าน โดยเฉพาะสุนัขนั้นชอบดูทีวีหรือไม่ มันดูรู้เรื่องไหม มันเห็นเหมือนเราหรือเปล่า
                ก่อนอื่นผมจะนำท่านไปรู้จักกับ ช่องทีวี ช่องหนึ่งก่อน นั่นก็คือ Dog TV หรือ จะเรียกเป็นไทยว่า ทีวีหมาหมา มันเป็นช่องทีวีรายการเกี่ยวกับสุนัขแต่มันแตกต่างจากรายการอื่นๆตรงที่ มันเอาไว้ให้น้องหมาดูไม่ใช่คนดูครับ
                หลายๆท่านคงจะบอกว่าสุนัขที่บ้านชอบดูทีวีเหมือนกัน บางคนก็ถึงกับนำดีวีดีหนังเกี่ยวกับสุนัขมาเปิดให้น้องหมาดูกันเลยครับ เรามาดูกันว่า ช่องทีวีนี้ต่างจากช่องอื่นอย่างไร
  • ·         เป็น on line TV channel เมื่อจ่ายเงินแล้วสามารถให้สัตว์ดูได้ผ่าน internet ครับ http://dogtv.com/
  • ·         ถ่ายเลียนแบบมุมมองของสุนัข กล้องจะตั้งประมาณ 2 ฟุตจากพื้น
  • ·         โปรแกรมจะให้ความสำคัญกับจิตใจสุนัข ให้ความสุข และทำให้ไม่เบื่อ
  • ·         เค้าอ้างว่ามีงานวิจัยพบว่าสุนัขมีความสุขขึ้นเมื่อได้ดูทีวีที่เขาชอบ
  • ·         ราคาประมาณ 300 บาท ต่อเดือน
  • ·     เหมาะสำหรับสุนัขที่ถูกทิ้งไว้ที่บ้าน ขณะที่เจ้าของออกไปทำงาน เพื่อลดความเครียด ความน่าเบื่อ และเพิ่มความอยากรู้อยากเห็น และความบันเทิง

โปรแกรมในช่องทีวีก็มีอยู่ประมาณ 3 โปรแกรม สลับไปสลับมา ครั้ง 3-6 นาที ได้แก่ รายการเกี่ยวกับสร้างการผ่อนคลาย รายการสร้างความตื่นเต้น และรายการเกี่ยวกับสัตวแพทย์เพื่อให้สัตว์คุ้นเคยกับสัตวแพทย์ ถ้าเป็นที่อเมริกาและอิสราเอลก็จะสามารถดูได้ทางเคเบิลทีวีเลยครับ และดูจะเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ทิ้งสัตว์ไว้ที่บ้านขณะไปทำงานครับ
ผมเอาลิงค์ตัวอย่างรายการที่ดูได้ทางอินเตอร์เน็ตมาให้ครับ ท่านสามารถเข้าไปที่เว็บไซด์ youtube ได้เลยครับ
บริษัทอ้างว่าทำช่องทีวีด้วยหลักการวิทยาศาสตร์โดยพื้นฐานของการมองเห็น และความสนใจของสุนัข และได้รับคำปรึกษาจากสัตวแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญการฝึกสุนัข  ในทีวีจะไม่มีเสียงเห่า และคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง แต่จะใช้ดนตรีเบาๆ ส่วนสีจะเน้นสีน้ำเงินและเหลือง เพราะเป็นสีที่สุนัขมองเห็นได้ดีที่สุด
เจ้าของสุนัขหลายคนที่อเมริกาที่ทดลองเปิดให้สุนัขดูมาพักหนึ่งบอกกับผู้สื่อข่าวว่า สุนัขที่บ้าน ชอบดู บางทีมันก็นอนหลับหน้าทีวี ไม่เห่าโวยวายเหมือนที่ผ่านมา แต่บางคนก็บอกว่าสุนัขของพวกเขาไม่เคยสนใจดูทีวีเลย  มูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ก็ได้ทดลองเอาไปใช้เหมือนกัน ก็บอกว่า ส่วนใหญ่สุนัขชอบ บริษัทที่ทำช่องทีวีสุนัขบอกว่า ในอนาคตอาจจะทำช่องทีวีสำหรับแมวครับ

ความเป็นจริงสำหรับการมองเห็นของสุนัข
ในทีวีที่เราเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว จริงๆแล้วข้อมูลจะส่งมาที่ทีวีเป็นรูปเดี่ยวหลายๆรูป เมื่อทีวีรับข้อมูลมาจะมีการเปลี่ยนจากรูปหนึ่งไปอีกรูปหนึ่งด้วยการสลับเปลี่ยนที่เร็วมากจนเราจะมองเห็นรูปเหล่านั้นเป็นภาพเคลื่อนไหว โดยปกติถ้าความเร็วในการเปลี่ยนรูป (flickering) อยู่มากกว่า 55 รูปต่อวินาที (เราจะเรียกว่า 55 Hz) คนเราจะมองเห็นรูปเหล่านั้นเป็นภาพเคลื่อนไหว แต่ถ้าช้ากว่านั้นเราจะมองเห็นเป็นรูปๆไป  แต่สุนัขจะมีความสามารถในการแยกรูปได้ดีกว่าคนดังนั้นจะต้องใช้ความเร็วในการเปลี่ยนรูปมากกว่านั้น ซึ่งอาจจะสูงถึง 75 Hz  (ในนกจะอยู่ที่ 100 Hz) การที่สุนัขสามารถแยกภาพเคลื่อนไหวได้ดีกว่าคน ก็เพราะว่าสุนัขมีเซลล์ที่รับแสงและการเคลื่อนไหว (rod cell) ได้มากกว่ามนุษย์นั่นเอง
ที่ผ่านมาระบบของการเปลี่ยนรูปของจอทีวีอยู่ที่ประมาณ 60 Hz ดังนั้นสุนัขไม่น่าจะมองเห็นทีวีเป็นภาพเคลื่อนไหว หรือจะเห็นก็เห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่เหมือนจริง อาจทำให้น้องหมาเบื่อที่จะดูทีวี  สุนัขบางตัวที่ชอบดูรูปก็จะดู แต่สุนัขส่วนใหญ่ไม่สนใจรูป ไม่สนใจอะไรช้าๆ และเนื่องจากสุนัขใช้ประสาทสัมผัสจมูกและหูมากที่สุด มันจึงสนใจในกลิ่นและเสียงมากกว่า จึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องหมาไม่ค่อยสนใจดูทีวีเท่าไร
แต่ในทีวีสมัยใหม่ซึ่งมีการส่งและรับสัญญาณที่ดีขึ้นที่เรามักเรียกว่า TV HD (High definition) อัตราความเร็วในการเปลี่ยนรูปอาจจะสูงถึง 1000 Hz ได้ ทำให้สุนัขเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวได้ดีพอๆกับมนุษย์ และยิ่งประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนระบบส่งสัญญาณเป็นดิจิตอล ซึ่งทำให้ภาพมีรายละเอียดสูงขึ้นด้วย รับรองว่า สุนัขในประเทศไทยจะมองเห็นภาพเคลื่อนไหวได้เหมือนกับที่เจ้าของของมันมองเห็น
นอกจากนั้น สุนัขไม่ได้มองเห็นสีเหมือนมนุษย์ แต่มันก็ไม่ได้มองเห็นแค่ สีขาว-ดำ เท่านั้น มันมีเซลล์ที่แยกสีได้ (cone cell) แต่มีน้อยกว่ามนุษย์ ทำให้มองเห็นความแตกต่างหรือแยกระดับของสีได้น้อยกว่ามนุษย์ มันจะมองเห็นภาพเป็นสีโทนน้ำเงิน และสีเหลืองครับ
                สุดท้ายนี้อยากจะฝากบอกท่านผู้อ่านว่า ทีวีของสุนัขนั้นก็เป็นแค่เครื่องมือหนึ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดให้กับสุนัขเท่านั้น สิ่งที่สุนัขนั้นต้องการไม่ใช่ทีวีและสิ่งที่ผ่อนคลายความเครียดให้สุนัขดีที่สุดก็คือเจ้าของนั่นเองครับ ถ้าคิดว่าตัวเองไม่พร้อม ไม่ค่อยมีเวลาก็แนะนำว่าอย่าพึ่งเลี้ยงครับ รอให้มีเวลาก่อน และถ้าเลี้ยงไว้แล้วก็อย่าทิ้งเขาให้เหงาอยู่ลำพังนะครับ ให้เวลากับเขามากๆครับ

Saturday 7 February 2015

10 เหตุผล ที่สาวโสด หนุ่มโสด บอกว่า เลี้ยงหมาดีกว่ามีแฟน

วันนี้ผมจะนำผลสำรวจของเหตุผลที่หนุ่มๆสาวๆโสดเหล่านั้น บอกว่าเพราะเหตุใดเค้าจึงเห็นว่าการเลี้ยงสุนัขนั้นดีกว่าการมีแฟน ผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจของนิตยสารในประเทศสหรัฐอเมริกา
เริ่มต้นด้วย 10 เหตุผลของสาวๆที่เห็นว่าสุนัขดีกว่าผู้ชาย
หตุผลอันดับที่ 10 สุนัขไม่เจ้าชู้ ไม่มองผู้หญิงอื่น รักเดียวใจเดียว รักมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง จะเห็นได้ว่าเมื่อสุนัขรักเจ้าของคนใดแล้ว มันยากที่จะเปลี่ยนใจ ยากที่จะลืม มีเรื่องราวในอดีตหลายเรื่องที่เล่าถึงสุนัขที่ไปนั่งเฝ้ารอเจ้าของกลับบ้านทุกวัน ถึงแม้เจ้าของจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม เช่น ฮาชิของประเทศญี่ปุ่น

เหตุผลอันดับที่ 9 สุนัขไม่เคยบ่นว่าเราอ้วน ไม่เหมือนพวกผู้ชายที่ชอบบ่นเวลาที่เราดูอ้วนขึ้น หรือน้ำหนักขึ้น ทำให้สาวๆที่เลี้ยงสุนัขมีความสุขในการกิน นอกจากนี้สุนัขก็ยังสามารถเป็นเพื่อนกินกับเธอได้ด้วย

เหตุผลอันดับที่ 8 สุนัขชอบให้เรากอด ชอบให้เราอ้อน ไม่เหมือนพวกผู้ชาย ที่มักจะอายและรำคาญที่แฟนสาวมาออดอ้อนมากเกินไป

เหตุผลอันดับที่ 7 เวลาที่เรากลับบ้านช้า สุนัขไม่เคยบ่น แต่กลับดีใจมากที่เห็นเรากลับมา ยิ่งเรากลับช้ามันจะยิ่งดีใจมาก เพราะว่ามันคิดถึงมาก ตรงกันข้ามกลับพวกผู้ชาย แค่เรากลับบ้านช้าไม่กี่นาทีก็ออกอาการไม่พอใจ

เหตุผลอันดับที่ 6 ถึงสุนัขจะชอบออกจากบ้านไปข้างนอก แต่ก็จะกลับมาทุกวันตามเวลา และที่สำคัญก็ไม่เคยเมากลับมาบ้าน ไม่เหมือนพวกผู้ชาย ออกจากบ้านเพื่อไปปาร์ตี้สังสรรค์ แล้วก็กลับมาเมา อ้วก อาละวาดให้เราต้องปวดหัวทุกครั้งไป

เหตุผลอันดับที่ 5 สุนัขไม่เคยบ่นเวลาที่คุณไปชอปปิ้ง มันไม่สนใจว่าคุณจะซื้ออะไรกลับมาบ้าง และถ้าเอามันไปด้วย มันจะเดินตามคุณอย่างเดียวโดยไม่บ่นสักคำ และไม่แสดงท่าทีเบื่อหน่าย ไม่เหมือนผู้ชายที่ชอบว่าเราชอปปิ้งอะไรไม่รู้ มีแต่ของฟุ่มเฟือย

เหตุผลอันดับที่ 4 สุนัขมันจะสำนึกผิดเวลาที่มันทำผิดและถูกเราต่อว่า ไม่เหมือนผู้ชายเมื่อทำผิดแล้วก็มักจะหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอ้าง เพื่อไม่ให้ตัวเองผิด หรือไม่ก็โวยวาย เบี่ยงเบนความสนใจ และโยนความผิดให้คนอื่น

เหตุผลอันดับที่ 3 สุนัขมักจะชอบเพื่อนของเรา ไม่บ่นเวลาที่เรามีปาร์ตี้ที่บ้าน ไม่บ่นเวลาเราคุยโทรศัพท์กับเพื่อนนานๆ ขณะที่ผู้ชายมักจะรำคาญเพื่อนของเราว่าเข้ามายุ่มย่ามมากเกินไป

เหตุผลอันดับที่ 2 สุนัขไม่เคยบ่นว่าเราทำอาหารไม่อร่อย ทำอะไรให้ก็กินหมด ไม่เหมือนผู้ชายที่ชอบติว่าไม่อร่อย ทำอะไรให้ก็ไม่ถูกใจ

เหตุผลอันดับที่ 1 เราสามารถฝึกสุนัขให้เป็นไปในแบบที่เราต้องการได้ แต่เราไม่สามารถฝึกผู้ชายได้ เพราะผู้ชายเป็นเพศที่ดื้อมาก อวดเก่ง ไม่ชอบฟังคำสั่ง และไม่อยู่ในระเบียบวินัย

ต่อมา เรามาดูเหตุผล 10 เหตุผลที่หนุ่มๆคิดว่าเลี้ยงสุนัขดีกว่ามีแฟนเป็นผู้หญิง
เหตุผลอันดับที่ 10 สุนัขไม่เคยบ่นเวลาเราชมสุนัขตัวอื่น ไม่เหมือนผู้หญิงที่มักจะอิจฉา บ่น และแสดงอาการไม่พอใจเวลาที่เราชมผู้หญิงอื่น

เหตุผลอันดับที่ 9 สุนัขไม่เคยบ่นเรื่องรูปร่างของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก ส่วนสูง สัดส่วน หน้าอก ไม่เหมือนผู้หญิงที่เรื่องพวกนี้ดูเป็นเรื่องสำคัญของพวกเธอ

หตุผลอันดับที่ 8 สุนัขไม่เคยบ่นเวลาที่เราทำบ้านรกรุงรัง หรือวางของไม่เป็นระเบียบ ตรงกันข้ามสุนัขมักจะชอบให้บ้านรกๆ มีของเล่นของมันอยู่เกลื่อนพื้น

เหตุผลอันดับที่ 7 สุนัขไม่เคยซุบซิบนินทาเรื่องคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน ไม่เหมือนพวกผู้หญิงที่พอว่างก็มักจะจับกลุ่มเม้าท์กัน

เหตุผลอับดับที่ 6 สุนัขเป็นเพื่อนในการออกกำลังกายที่ดี มันไม่เคยบ่นเวลาที่เราชวนไปวิ่ง ไม่เคยเหนื่อยและไม่กลัวร้อน ไม่เหมือนพวกผู้หญิงที่เวลาเราชวนออกไปวิ่งก็จะอ้างว่า เหนื่อย ร้อน ประจำเดือนมา

เหตุผลอันดับที่ 5 สุนัขจะไม่สงสัยเวลาที่เราเรียกชื่อมันผิด ไม่เหมือนผู้หญิงเวลาที่เราเรียกชื่อผิด ก็จะเข้าใจผิดว่านั่นคือชื่อของผู้หญิงอื่น ทำให้เข้าใจผิดว่าเรากำลังนอกใจเธอ

เหตุผลอันดับที่ 4 สุนัขไม่เคยถามว่ารักมันหรือไม่ มันรู้ว่าเรารักมันจากพฤติกรรมที่แสดงออกมาของเราอยู่แล้ว ไม่เหมือนผู้หญิงที่มักมองข้ามการแสดงออกของเรา และต้องการฟังคำบอกรักจากเราทุกวันๆมากกว่า

เหตุผลอันดับที่ 3 ถึงแม้ว่าสุนัขชอบที่จะเดินทางไปไหนมาไหนกับเรา แต่เราก็สามารถล่ามโซ่หรือขังมันไว้ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ผู้หญิงก็เหมือนสุนัขที่อยากรู้ว่าเราไปไหน และเราก็ไม่สามารถห้ามหรือปฏิเสธเธอได้ นอกจากนี้เธอก็จะติดสอยห้อยตามเราไปทุกที่ เพื่อคอยจับผิด

เหตุผลอันดับที่ 2 สุนัขไม่ชอบชอปปิ้ง มันไม่เคยเลือกซื้อของ ยี่ห้อ หรือของแบรนด์เนม ไม่ว่าเราจะซื้ออะไรมันก็จะดีใจและชอบในสิ่งที่เราเลือกมาให้มัน

เหตุผลอันดับที่ 1 เราสามารถเลี้ยงสุนัขได้มากกว่า 1 ตัว และพวกมันก็สามารถอยู่กันได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าเรามีแฟน ผู้หญิงจะให้เรามีแต่เธอคนเดียวเท่านั้น และถ้าเธอสืบรู้ว่าเรามีผู้หญิงอีกคน เราอาจถึงแก่ชีวิตได้

                
เป็นยังไงกันละครับ ตรงกับที่ท่านผู้อ่านคิดไว้หรือเปล่าครับ จะเห็นได้ว่าถึงแม้คนบางคนจะคิดว่าการเลี้ยงสุนัขนั้นดีกว่าการมีแฟน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่เห็นว่าเราสามารถเลี้ยงสุนัขไปด้วยและมีแฟนไปด้วยได้ครับ ดังนั้นการเลี้ยงสุนัขก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการที่เราจะมีแฟนนะครับ ......เติมพงศ์ 

Friday 16 January 2015

น้องหมาก็เป็นหวัดได้นะครับ

น้องหมาก็เป็นหวัดได้นะครับ

เติมพงศ์ วงศ์ตะวัน
หน้าหนาวก็เข้ามาเยือนแล้ว ทุกท่านและก็สัตว์เลี้ยงของท่านก็คงต้องระวังสุขภาพกันให้ดี โดยเฉพาะโรคไข้หวัดประจำปี (Seasonal Flu) ที่มักเกิดขึ้นบ่อยในหน้าหนาว โรคไข้หวัดนี้ก็เป็นกันได้ทั้งคนทั้งหมาครับ เป็นเชื้อไวรัสคล้ายๆกันแต่เป็นคนละสายพันธุ์ ที่สำคัญไม่ต้องห่วงครับมันไม่ติดจากคนไปหมา และจากหมาไปคนครับ
เชื้อไวรัสในน้องหมาเป็นสายพันธุ์ที่เรียกว่า H3N8 ในสุนัขอาการก็จะคล้ายๆในคนก็คือ ไม่กินอาหาร มีไข้ มีขี้ตา มีขี้มูกไหล ไอ สำหรับการวินิจฉัยหาเชื้อไข้หวัดสุนัขทางห้องปฏิบัติการนั้นก็สามารถทำได้แล้วที่ต่างประเทศ แต่ที่บ้านเรายังคงต้องรอคอยกันต่อไป
 โดยทั่วไปเชื้อไวรัสหวัดไม่ทำให้สุนัขเสียชีวิตเว้นเสียแต่เสียว่า มีอาการแทรกซ้อน และนำไปสู่อาการของโรคปอดบวมซึ่งก็ต้องพาไปพบสัตวแพทย์โดยด่วนมิฉะนั้นน้องหมาของท่านอาจจะเสียชีวิตได้  ซึ่งถ้าไม่มีอาการหนักอะไรอาการของโรคไข้หวัดสุนัขก็จะดีขึ้นเองภายในหนึ่งอาทิตย์โดยไม่ต้องทำอะไร
สำหรับการป้องกันโรคไข้หวัดประจำปีนั้นสามารถป้องกันโดยวิธีพื้นๆทั่วไปซึ่งใช้ได้สำหรับทั้งคนและสัตว์ ซึ่งก็คือการกินอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ และการให้ความอบอุ่นกับร่างกายในช่วงที่อุณหภูมิเย็นแล้ว ก็ยังมีทางเลือกใหม่ที่ต่างประเทศใช้กันซึ่งก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัด ซึ่งมีขายแล้วทั้งสำหรับคนและน้องหมา แต่ผมเข้าไว้ว่าที่เมืองไทยนั้นมีแต่วัคซีนไข้หวัดประจำปีของคนเท่านั้น ยังไม่มีวัคซีนไข้หวัดประจำปีของน้องหมา
สำหรับวัคซีนไข้หวัดประจำปีของน้องหมานั้นที่ผลิตอยู่นั้นมีอยู่แค่บริษัทเดียวทั้งโลกเท่านั้นครับใครสนใจก็ลองถามบริษัท Intervet ดูนะครับ เขาเรียกกันว่า Canine flu H3N8 vaccine  จริงๆวัคซีนไข้หวัดหมาที่ฉีดกันในต่างประเทศนั้นไม่ได้แนะนำให้ฉีดทุกตัวนะครับ แต่เขาจะฉีดกันในสุนัขที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สุนัขที่เดินสายประกวด สุนัขที่ต้องเดินทางไปในสถานที่โรคหวัดระบาดหนัก โรคไข้หวัด หรือสถานที่เสี่ยงบ่อยๆ อาทิ เช่น โรงพยาบาล ร้านตัดขน โรงแรมสุนัข
ส่วนบ้านไหนที่มีน้องหมาติดเชื้อไข้หวัดสุนัขแล้ว และก็ยังมีสุนัขเลี้ยงตัวอื่นๆอีก ก็คงต้องพยายามแยกออกจากกันเพื่อไม่ให้เชื้อโรคกระจายไปหากันได้ง่าย ทำความสะอาดที่นอน ของใช้ของสุนัขที่ป่วย

สำหรับโปรแกรมวัคซีนไข้หวัดสุนัข นั้นสามารถฉีดได้ในสุนัขอายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ขึ้นไป ต่อจากนั้นจะต้องฉีดทุกปีก่อนหน้าหนาวครับ ถ้าเจ้าของฉีดด้วยก็น้องหมาเข็มหนึ่งเจ้าของเข็มหนึ่งครับแต่อย่าเอาวัคซีนมาฉีดสลับกันนะครับ เดี๋ยวจะป้องกันโรคไม่ได้


Friday 14 November 2014

สายใยรักจากสัตว์เลี้ยง สู่มนุษย์

สายใยรักจากสัตว์เลี้ยง สู่มนุษย์
ตอนเลี้ยงสัตว์ทำให้ชีวิตของเรายืนยาวขึ้น
เติมพงศ์ วงศ์ตะวัน


สำหรับวันนี้เราจะมาคุยเรื่อง การเลี้ยงสัตว์ทำให้ชีวิตของเรายืนยาวขึ้นหรือเปล่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และยุโรปบางประเทศ อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนนั้นก็จะประมาณ 80 ปี โดยไม่มีอาการของโรคพิการของอวัยวะต่างๆให้เห็น ส่วนของประเทศไทยนั้นอายุขัยของคนไทยจะต่ำกว่านั้น 10 ปี ก็คือประมาณ 70 ปี ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมากกว่า 60% ของแต่ละครอบครัวจะมีสัตว์เลี้ยงอยู่ และผู้สูงอายุมากกว่า 14จะเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงครับ
·         จากการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษาเจ้าของแมวกว่า  4,000 คน ที่เลี้ยงแมวมากว่า 10 ปี พบว่า พวกเขาเหล่านั้นมีจะลดความเสี่ยง 30% ต่อการตายเนื่องจากโรคหัวใจล้มเหลว
·         นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิสซูรี (the University of Missouri) พบว่า เจ้าของสุนัขมีแนวโน้มที่จะไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคไขมันในเลือดสูง
·         ในการศึกษาทางประสาทวิทยาของคนแก่ที่จูงสุนัขเดินทุกวันพบว่า การจูงสุนัขเดินนั้นช่วยให้ระบบประสาทที่เรียกกันว่า parasympathetic nervous system activity ทำงานดีขึ้น ซึ่งระบบประสาทตัวนี้จะช่วยในการทำให้ร่างกายสงบ และพักผ่อนดีขึ้น
·         นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีน เบลฟาท (Queens University, Belfast) พบว่าสุนัขช่วยป้องกันไม่ให้เราป่วยได้จากการช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยให้เราหายป่วยเร็วขึ้น
·         จากการศึกษาผู้เลี้ยงสัตว์ชนิดอื่น เช่น เลี้ยงแมว ปลา นก ก็พบว่า เจ้าของจะมีความดันเลือดที่ต่ำกว่า เครียดน้อยกว่า และเป็นโรคเศร้าซึมน้อยกว่า ในคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ใดๆเลย
·         ในสหรัฐอเมริกาพบว่า 40% ของคนชราที่มีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน จะไปพบคุณหมอน้อยกว่า คนชราที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์

สำหรับกลไกที่ทำให้การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงช่วยให้เรามีสุขภาพดีขึ้นนั้นอาจจะเกิดจากความสุขกาย สบายใจ และการได้ออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอกับสัตว์เลี้ยง ทำให้เราป่วยน้อยลง ลดโอกาสที่จะเสียชีวิตจากโรคอันตราย เช่น โรคหัวใจล้มเหลว โรคเบาหวาน โรคเครียด เป็นต้น
สำหรับคนชราที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงนั้นพบว่า สัตว์เลี้ยงสามารถที่จะกระตุ้นผู้สูงอายุให้มีความกระตือรือร้น และอยากทำกิจกรรมอยู่เสมอ การเลี้ยงสัตว์จะทำให้พวกเขามีความรู้สึกที่จะอยู่ต่อไปในโลกนี้ อาจจะเรียกว่าอยู่เพื่อสัตว์เลี้ยงก็ได้ ในคนชราที่บางคนอาจจะมีโอกาสที่จะพบปะผู้อื่นได้มาก เพราะว่าเพื่อนๆเสียชีวิต หรือญาติพี่น้องอยู่ห่างออกไป หรือไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางบ่อยๆ หรือไกลๆ ก็จะได้สัตว์เลี้ยงนี่แหละคอยเป็นเพื่อน เป็นกำลังใจ ในบางประเทศมีการให้คนที่เกษียรอายุแล้วไปเป็นอาสาสมัครช่วยจูงสุนัขของมูลนิธิที่ดูแลสุนัขไม่มีเจ้าของพบว่า คนชราเหล่านั้นแข็งแรงขึ้น
จากการศึกษาจากผู้เลี้ยงสัตว์หลายชนิดพบว่า การเลี้ยงสุนัขจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆ โดย ดอกเตอร์ เดบอรา เวล  (Dr. Deborah Wells) นักจิตวิทยาจาก Queens University, Belfast แห่งประเทศสหราชอาณาจักรก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมการเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะน้องหมานั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพเรามาก และดูเหมือนว่าจะดีกว่าเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นด้วย แต่มันก็เป็นไปได้ว่าสุนัขสามารถที่จะช่วยให้เราสุขภาพดีจากช่วยลดความเครียด ช่วยให้เราได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เนื่องจากต้องพาน้องหมาออกไปเดิน วิ่งอยู่ทุกวัน ทำให้เราได้รู้จักพบปะผู้คนมากขึ้น เพราะจะมีคนคุยกับเรามากขึ้นเมื่อเห็นเราจูงหมา โดยเฉพาะคนที่เลี้ยงหมาเหมือนกัน
เนื่องจาก ความสัมพันธุ์ ความผูกพันระหว่างสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของนั้นมีประโยชน์ในทางสุขภาพ ดังนั้นปัจจุบันจึงได้มีการใช้สัตว์มาช่วยในการรักษา และฟื้นฟูผู้ป่วยในหลายๆโรค ในต่างประเทศนั้นมีกันมานานแล้ว แต่ในประเทศไทยนั้นค่อยที่จะมี่แล้วครับ แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาโรคทางสมองในเด็กออทิสติก โดยให้ขี่ม้า ซึ่งเรามักเรียกกันว่า อาชาบำบัด

            เป็นไงบ้างครับ จะเห็นว่าการเลี้ยงสัตว์นั้นจะช่วยให้เรามีอายุยืนยาวขึ้นจริงๆ ไม่ได้โม้เลยครับ ดังนั้นถ้าใครอยากมีอายุยาวๆก็ต้องเลิกอบายมุข และหันมาเลี้ยงสัตว์ครับ แต่ต้องเลี้ยงจริงๆนะครับ เลี้ยงดีๆ อย่าเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ คือให้สัตว์หากินเอง หรือเลี้ยงแบบจ่ายเงินให้คนอื่นเลี้ยง ถ้าเลี้ยงไม่ดีแบบนี้น่ากลัวจะอายุสั้นมากกว่าอายุยาวครับ